สุขภาพดีชีวิตดีด้วยศาสตร์ชะลอวัยให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์สูงสุด
หากพูดถึงศาสตร์แห่งการชะลอวัย หรือ Anti-Aging Medicine ในความเป็นจริงมีชื่อเต็มว่า เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ (Anti-Aging and Regenerative Medicine) เป็นการชะลอความเสื่อม โดยการป้องกันไม่ให้เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว และฟื้นฟูสภาพความเสื่อมให้กลับคืนมาในส่วนที่ทำได้ โดยมุ่งหวังจะให้มีชีวิตที่ยืนยาว มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งมีแนวทางการดูแลทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รวมถึงการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดีร่วมด้วย
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ anti-aging
– หลายท่านเข้าใจว่าเป็นเรื่องความงาม มีการฉีดสารบางอย่างเข้าไปในร่างกาย
– มีสารที่ทำให้ไม่แก่ สามารถทำให้เยาว์วัยตลอดกาล
– ฉีดโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) เพื่อให้ร่างกายฟิต
– บางรายคิดว่าจะทำให้อายุยาว
– การดูแลด้วยศาสตร์นี้มีราคาแพง
ในความเป็นจริง หากสังเกตในหลอดทดลอง เซลล์ของมนุษย์มีอายุประมาณ 120 ปี แต่ด้วยสภาพของอาหารที่รับประทานเข้าสู่ร่างกาย พฤติกรรมของการดำรงชีวิต และสภาพแวดล้อม ทำให้เซลล์เสื่อมลงได้ เพราะฉะนั้น การจะมีอายุยืนยาวเท่าไร หรือแม้กระทั่งการที่มีอายุยืนแล้วจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการดูแลร่างกาย จิตใจ และสิ่งแวดล้อมรอบตัว ว่าเราจะรับประทานอะไร มีความรู้สึกนึกคิดแบบไหน หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี มีอากาศและน้ำที่สะอาดหรือไม่ หรือจะรับอะไรเข้าสู่ร่างกาย เพื่อทำให้เราสามารถมีสุขภาพที่ดีได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง แต่จะให้อายุยืนยาวไปจนถึง 120 ปี ได้หรือไม่นั้น ในขณะนี้ยังไม่สามารถทำได้ให้ถึงขณะนั้น
ระดับสุขภาพสมบูรณ์สูงสุด (Optimal Health)
เป็นภาวะสุขภาพที่สมบูรณ์สูงสุด ซึ่งศาสตร์นี้จะช่วยให้ผู้ที่อยากดูแลสุขภาพของตนเอง สามารถมีสุขภาพที่ดีที่สุดเท่าที่ควรจะเป็น ตามอายุและบริบทของแต่ละบุคคล
สุขภาพที่ทุกคนใฝ่ฝันเมื่ออายุมากขึ้น ส่วนใหญ่มักเป็นดังนี้
– มีสุขภาพดี
– มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง
– มีความจำแม่นยำ
– มีภูมิคุ้มกันไม่บกพร่อง
– มีฮอร์โมนปกติ
ดังนั้น เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ (Anti-Aging and Regenerative Medicine) จึงเป็นการดูแล ส่งเสริมสุขภาพหรือการป้องกันโรค
ในด้านการรักษาโรคของเวชศาสตร์ชะลอวัยนั้น จะเป็นการรักษาร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบัน โดยจะให้รับประทานยาเดิมที่เคยรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน แต่จะนำการรักษาแบบเวชศาสตร์ชะลอวัยมาเติมเต็มเข้าไปช่วย เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น รวมถึงการฟื้นฟูสุขภาพด้วย
ความแตกต่างระหว่าง เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ VS การรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน คือ
เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ จะเน้นการดูแลสุขภาพตั้งแต่ก่อนป่วย เพื่อชะลอสุขภาพไม่ให้ป่วย นั่นหมายถึง สร้างสุขภาวะให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะเดียวกันคุณภาพชีวิตก็ต้องดีด้วย
ศาสตร์ชะลอวัยควรเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่?
ควรเริ่มดูแลตั้งแต่แรกเกิด หากไม่ได้เริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ดูแลไม่ทัน สามารถเริ่มได้ตั้งแต่วันนี้จะดีกว่าที่ไม่ได้เริ่มต้นดูแลเลย ถึงจะทำให้ชะลอวัยได้นาน หากพูดถึงกลไกความเสื่อมในของร่างกายมนุษย์ทุกคน จะมีทฤษฎีมากมายหลายหลักการ เช่น สารอนุมูลอิสระ (oxidant), ฮอร์โมนพร่อง, การสร้างหรือซ่อมแซม DNA ที่ผิดปกติ เป็นต้น
ตัวอย่าง หากร่างกายมีสารอนุมูลอิสระ (oxidant) ในร่างกายเป็นจำนวนมาก อาจจะเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีสารพิษ ร่างกายจะเกิดการเผาผลาญ เพื่อทำลายสารพิษ ส่งผลให้มีสารอนุมูลอิสระในร่างกายเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก กระบวนการอักเสบจะเกิดขึ้นตามมา หากใครที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ในปริมาณที่สูงและพอเหมาะ หรือที่ทุกคนรู้จักกันในรูปของสารที่สามารถยับยั้งการเกิดสารอนุมูลอิสระ จะส่งผลให้สารอนุมูลอิสระทำงานได้อย่างสมดุล ทำให้สารตกค้างที่เป็นของเสียจากกระบวนการเผาผลาญมีน้อยหรือไม่มี ส่งผลให้กระบวนการการอักเสบเกิดขึ้นน้อย ร่างกายก็จะเสื่อมช้า แต่หากใครที่มีสารต้านอนุมูลอิสระไม่เพียงพอ กระบวนการอักเสบจะเกิดขึ้นมาก ทำให้ร่างกายเสื่อมได้อย่างรวดเร็ว
สารอนุมูลอิสระ (oxidant) มาจากไหนบ้าง?
– ความเครียดด้านร่างกาย เช่น อดนอน ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ออกกำลังกายแบบหักโหม มีความเจ็บป่วย
– ความเครียดทางด้านจิตใจ
– การได้รับสารเคมี หรือมลภาวะ เช่น PM2.5
– อาหารขยะ อาหารทอด ฟาสต์ฟูด อาหารที่ผ่านการแปรรูป อาหารแช่แข็งหรืออาหารที่มีสารอาหารที่มีความจำเป็นหลงเหลือน้อย
ปัจจัยที่มีผลต่อการหลั่งของฮอร์โมน
– อายุที่มากขึ้น (เป็นปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้)
– อาหาร
– อาหารเสริม (ควรมาจากแหล่งธรรมชาติก่อนและเลือกชนิดที่มีสารอาหารสูง)
– การออกกำลังกาย
– การนอน
– ความเครียด
– ความเจ็บป่วย
– การได้รับยาหรือสารเคมี
– การได้รับสารพิษหรือโลหะหนัก
สร้างร่างกายให้ไม่เสื่อมก่อนวัย ด้วย 4 หลักการสำคัญของศาสตร์ชะลอวัย
1. เลือกสารอาหารที่ดี
2. นอนให้มีประสิทธิภาพ
3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
4. ลดความเครียด
คำแนะนำเรื่องการรับประทานอาหาร (สำหรับผู้ที่มีข้อห้ามบางอย่างเฉพาะ)
– รับประทานอาหารให้เป็นเวลา
– ไม่รับประทานมื้อดึก
– มื้อเช้ารับประทานให้มาก มื้อเย็นรับประทานให้น้อย
– รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการ
– ลดการบริโภคแป้งและน้ำตาล
– เลือกชนิดของอาหาร (ให้เลือกออร์แกนิก คือ ผลผลิตจากการเกษตร ที่ผ่านกระบวนการผลิตปลอดสารเคมีทุกชนิด ที่จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม หรือไม่รับประทานอาหารแปรรูป)
– จัดสัดส่วนของหมวดอาหารให้พอเหมาะ โดยใช้สัดส่วน (2 : 1 : 1) คือ ผักใบ 2 ส่วน ข้าวแป้ง 1 ส่วน และเนื้อสัตว์หรือโปรตีน 1 ส่วน
นอนดี นอนอย่างไร?
– ควรเข้านอน และตื่นนอนให้ตรงเวลาเป็นประจำทุกวัน ทั้งวันทำงานและวันหยุด
– ไม่ควรงีบในเวลากลางวัน หากนอนกลางวันเป็นประจำ ไม่ควรงีบเกิน 30 นาที และไม่ควรงีบหลัง 15.00 น.
– หลีกเลี่ยงอาหาร และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม อย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนนอน
– หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และอาหารมื้อหนัก หรืออาหารที่มีรสจัด หรือรสเผ็ด หรืออาหารหวานอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนนอน
– ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนนอน
– เตียงนอนควรเป็นเตียงที่นอนแล้วสบาย มีอุณหภูมิที่เหมาะสม ระบายอากาศได้ดี ไม่ควรมีแสงเล็ดลอดเข้ามา และไม่ควรมีเสียงดัง
– ควรผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวล ไม่ควรดูภาพยนตร์ตื่นเต้นสยองขวัญก่อนนอน
– ควรใช้ห้องนอนเพื่อการนอน และกิจกรรมทางเพศเท่านั้น อย่าใช้ห้องนอน และเตียงนอนเป็นที่ทำงาน เล่นโทรศัพท์มือถือ หรือดูโทรทัศน์
– หากนอนไม่หลับภายใน 30 นาที ควรลุกจากที่นอนขึ้นมาทำกิจกรรมเบาๆ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลงเบาๆ แล้วกลับมานอนใหม่อีกครั้งเมื่อรู้สึกง่วง
– รับแสงแดดให้เพียงพอในตอนเช้า อย่างน้อย 30 นาที ทุกวัน เนื่องจากแสงแดดเป็นตัวควบคุมนาฬิกาชีวิตที่สำคัญ
วิธีลดความเครียด (การจัดการความเครียดเฉพาะรายบุคคล ควรเลือกกิจกรรมที่ผ่อนคลายและชื่นชอบ ไม่ต้องใช้ร่างกายและสมองเยอะขณะทำ)
ตัวอย่างกิจกรรม เช่น
– นั่งสมาธิ
– ดูหนังที่ผ่อนคลาย เลี่ยงการดูหนังตื่นเต้น หนังสยองขวัญ หรือหนังดราม่า
– ฟังเพลงเพราะๆ
– อ่านหนังสือ
– ทำงานอดิเรก
– ทำงานศิลปะ
– นอนหลับ
– ไปเที่ยว
– ทำกิจกรรมตามความสนใจเฉพาะบุคคล
สรุปการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมด้วยวิธี 3อ 2ส 1น เพื่อให้ร่างกายมีการชะลอวัย คือ
– 3อ คือ อาหาร อารมณ์ ออกกำลังกาย
– 2ส คือ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา
– 1น คือ นอน
อย่างไรก็ตาม หากดูแลตัวเองได้ทั้งหมดแล้ว ควรดูแลสิ่งแวดล้อมรอบตนเองด้วยเช่นกัน เพื่อไม่ให้ความเครียดจากสิ่งแวดล้อมนั้นมากระทบกับตัวเอง เช่น เพื่อน สังคม และบุคคลรอบข้าง ดังนั้น ควรจัดการกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวและปรับทัศนคติ เพื่อให้ตนเองมีสุขภาพที่ดีแบบองค์รวมด้วยศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพตลอดไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : รศ.พญ.นลินี ยิ่งชาญกุล อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

อาหาร 5 หมู่
สารอาหาร คือ สารเคมีในอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่หรือแร่ธาตุ โดยทั้ง 5 สารนี้ยังแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่
- สารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ประกอบไปด้วย โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน
- สารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน ประกอบไปด้วยวิตามิน และเกลือแร่หมู่ที่ 1 โปรตีน
สารอาหารหมู่ที่ 1 คือ โปรตีน เป็นสารอาหารที่พบได้จากเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ไข่ รวมถึงพืชตระกูลถั่วต่างๆ เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วลันเตา โดยโปรตีนเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมภูมิต้านทาน ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ถือเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายจะขาดไม่ได้เลย
ประโยชน์ของโปรตีนช่วงลดน้ำหนัก
โปรตีนเป็นสารอาหารที่ให้พลังงาน อีกทั้งช่วยในเรื่องการเจริญเติบโตและซ่อมแซมกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย มีประโยชน์หลายด้าน ได้แก่
- โปรตีนช่วยรักษาสมดุลของน้ำ โดยโปรตีนจะช่วยรักษาปริมาณน้ำในเซลล์ รวมถึงน้ำในหลอดเลือดให้มีปริมาณที่เหมาะสม
- ช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญให้สามารถเผาผลาญพลังงานและแคลอรี่ได้ดี
- ช่วยลดความอยากอาหาร เมื่อทานโปรตีนปริมาณมากขึ้น จะช่วยลดฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin hormone) หรือฮอร์โมนหิว โดยจะเพิ่มฮอร์โมนอิ่มเข้ามา
- ช่วยลดความรู้สึกอยากทานของหวานในเวลากลางคืน
ควรบริโภคโปรตีนอย่างไรช่วงลดน้ำหนัก8
หลายๆ คนคงเคยได้ยินว่าถ้าอยากลดน้ำหนัก ต้องทานโปรตีนเยอะๆ ซึ่งความจริงแล้วการทานโปรตีนจะต้องทานให้ถูกวิธี ทานในปริมาณที่เหมาะสม ทั้งการทานโปรตีนจากพืชและโปรตีนจากสัตว์ โดยปกติใน 1 วัน ผู้หญิงควรได้รับโปรตีนอยู่ที่ 46 กรัม และผู้ชายควรได้รับโปรตีนอยู่ที่ 56 กรัม ซึ่งอาหารโปรตีนสูงที่ช่วยลดน้ำหนัก ได้แก่
- ไข่ไก่ เป็นสารอาหารที่ให้โปรตีนได้ดี ไข่ไก่ 1 ฟองจะได้โปรตีน 7 กรัม โดยหากทานแค่ไข่ขาว จะได้โปรตีนถึง 4 กรัม และควรหลีกเลี่ยงไข่แดง เนื่องจากมีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง
- ถั่วเหลือง เป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีโปรตีนสูง เพียงทานถั่วเหลือง 100 กรัมจะได้โปรตีนถึง 34.1 กรัม9 เหมาะกับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก เพราะให้พลังงานได้ดีและช่วยให้อิ่มท้องได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีกากใยอาหารมาก ช่วยในการขับถ่าย
- เมล็ดเจีย เมล็ดธัญพืชชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็กคล้ายเม็ดแมงลัก แค่เพียง 2 ช้อนโต๊ะ จะได้โปรตีนถึง 4 กรัม10 นอกจากนี้ยังมีสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุอีกมากมาย และจากคุณสมบัติพองตัวออกเมื่อถูกแช่ในน้ำ จึงทำให้อิ่มเร็ว และอิ่มนาน อีกทั้งมีเส้นใยอาหารและกรดอัลฟาลีโนเลนิกที่มีส่วนช่วยลดน้ำหนักและไขมันอีกด้วย
หากร่างกายขาดโปรตีนจะส่งผลอย่างไร
หากขาดโปรตีน ซึ่งถือเป็นสารอาหารหลักที่ช่วยให้พลังงานแก่ร่างกายนั้น จะมีอาการ ดังนี้
- สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อมีขนาดเล็กลง เนื่องจากร่างกายจะนำโปรตีนที่สะสมไว้ในกล้ามเนื้อลายมาใช้แทน ทำให้กล้ามเนื้อจะเล็กลงไปเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่ขาดโปรตีน
- มีอาการผิดปกติบริเวณเส้นผม เช่น ผมร่วง ผมบางลงหรือขาดง่ายอย่างเห็นได้ชัด
- มีอาการผิดปกติบริเวณเล็บมือ หรือเล็บเท้า เช่น เล็บเปราะ หรือเล็บเป็นคลื่น
- มีอาการหิวบ่อย เนื่องจากโปรตีนเป็นสารอาหารที่ให้พลังงาน เมื่อขาดแหล่งพลังงาน กลไกของร่างกายจะกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกหิว อยากอาหารอยู่ตลอดเวลา
หมู่ที่ 2 คาร์โบไฮเดรต
สารอาหารหมู่ที่ 2 คาร์โบไฮเดรต เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย อีกทั้งยังเป็นตัวขับเคลื่อนการทำงานของระบบอวัยวะสำคัญของร่างกาย เช่น สมอง หัวใจ รวมถึงระบบที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจ โดยคาร์โบไฮเดรตประกอบไปด้วย ข้าว น้ำตาล แป้ง เผือก มัน พืชหัวต่างๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปที่ทำจากข้าวหรือแป้ง เช่น มันฝรั่ง ขนมปัง เป็นต้น
ประโยชน์ของคาร์โบไฮเดรตช่วงลดน้ำหนัก
หลายคนที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ อาจพยายามเลี่ยงอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ซึ่งสามารถทานได้ เพราะคาร์โบไฮเดรตเป็นหนึ่งในสารอาหาร 5 หมู่ที่จำเป็นต่อร่างกายของเรา เพียงแค่ต้องเลือกทานในปริมาณที่เหมาะสม โดยการทานสารอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตนั้น มีประโยชน์ ดังนี้
- ช่วยให้ระบบเผาผลาญไขมันของร่างกายทำงานได้ตามปกติ
- ช่วยในการเผาผลาญพลังงาน โดยให้ทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตชนิดดี เพื่อที่จะได้เผาผลาญไขมันส่วนเกินออกไป
- คาร์โบไฮเดรตช่วยเหนี่ยวรั้งโปรตีนไม่ให้ถูกเผาผลาญเป็นพลังงานไปทั้งหมด เพื่อที่โปรตีนจะได้ไปซ่อมแซมร่างกายในส่วนที่สึกหรอ
ควรบริโภคคาร์โบไฮเดรตอย่างไรช่วงลดน้ำหนัก8
สำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ควรทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตอย่างน้อย 135-195 กรัมต่อวัน โดยแนะนำให้ทานอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เพื่อให้อิ่มนานขึ้น และร่างกายได้รับใยอาหารที่มีส่วนช่วยในการขับถ่าย ได้แก่
- ข้าวโอ๊ต (ปริมาณ 100 กรัม จะให้สารอาหารคาร์โบไฮเดรตประมาณ 66 กรัม) ในข้าวโอ๊ตนั้นมีเส้นใยอยู่มาก ช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอล อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจอีกด้วย
- ข้าวกล้อง (ปริมาณ 100 กรัม จะให้สารอาหารคาร์โบไฮเดรตประมาณ 23 กรัม) แนะนำให้ทานข้าวที่ไม่ได้รับการขัดสีอย่างข้าวกล้องเพราะข้าวกล้องจะอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ มากมายที่ดีต่อร่างกาย
- ถั่วแดง (ปริมาณ 100 กรัม จะให้สารอาหารคาร์โบไฮเดรตประมาณ 61 กรัม) โดยถั่วแดงจะช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอล อีกทั้งยังช่วยเรื่องระบบเผาผลาญให้ร่างกายสามารถเผาผลาญพลังงานได้ดี
หากร่างกายขาดคาร์โบไฮเดรตจะส่งผลอย่างไร
สารอาหารอย่างคาร์โบไฮเดรตนั้น มีคุณสมบัติที่ช่วยในเรื่องของการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย หากร่างกายขาดคาร์โบไฮเดรต มักเกิดอาการผิดปกติ ดังนี้
- มีกลิ่นปาก ระบบการทำงานของร่างกายจะทำการเผาผลาญไขมันแทน เนื่องจากขาดสารอาหารอย่างคาร์โบไฮเดรต ทำให้เกิดภาวะคีโตซิส (Ketosis) ซึ่งเป็นการปล่อยสารคีโตน (Ketones) ออกมา ทำให้เกิดกลิ่นปาก
- มีอาการขี้หลงขี้ลืม ระบบสมองของเราจำเป็นต้องได้รับกลูโคสในปริมาณที่เพียงพอ ซึ่งกลูโคสเกิดจากคาร์โบไฮเดรตที่ถูกย่อยสลาย ผู้ที่ขาดคาร์โบไฮเดรตจึงมักจะมีอาการหลงๆ ลืมๆ อยู่ตลอด
- มีภาวะอารมณ์แปรปรวน เนื่องจากคาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการผลิตเซโรโทนิน (Serotonin) ในร่างกาย ซึ่งสารเคมีตัวนี้ช่วยทำให้อารมณ์ดี
- มีอาการท้องผูกบ่อยๆ สารอาหารอย่างคาร์โบไฮเดรตมักอยู่ในอาหารที่มีไฟเบอร์สูง หากงดทานคาร์โบไฮเดรต หรือทานน้อยจนร่างกายขาดสารอาหารคาร์โบไฮเดรต ก็มักจะมีอาหารท้องผูกบ่อยๆ
หมู่ที่ 3 เกลือแร่หรือแร่ธาตุ
สารอาหารหมู่ที่ 3 เกลือแร่หรือแร่ธาตุ เป็นสารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน มักพบในกลุ่มพืชผักเป็นหลัก ซึ่งมีทั้งผักใบเขียว ใบผักสีต่างๆ เช่น สีเหลือง สีขาว สีม่วง หรือสีอื่นๆ ซึ่งเกลือแร่จะเข้าไปช่วยให้ระบบในร่างกายทำงานได้ตามปกติ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาสุขภาพ โดยเกลือแร่แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- เกลือแร่หลักหรือเกลือแร่ที่จำเป็นต้องได้รับในปริมาณที่มากกว่าวันละ 100 มิลลิกรัม ทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม กำมะถัน คลอรีน คลอไรต์
- เกลือแร่รอง คือ เกลือแร่ที่ร่างกายต้องการน้อยกว่าวันละ 100 มิลลิกรัม มีทั้งเหล็ก สังกะสี แมงกานิส ทองแดง ซิลีเนียม ไอโอดีน โครเมียม โคบอลท์ ฟลูออไรด์ โมลิบดินัม และวานาเดียม
ประโยชน์ของเกลือแร่หรือแร่ธาตุช่วงลดน้ำหนัก
ในช่วงที่ลดน้ำหนักนั้น สารอาหารประเภทเกลือแร่หรือแร่ธาตุถือเป็นตัวช่วยบำรุงระบบภายในร่างกาย เกลือแร่นั้นอุดมไปด้วยวิตามินที่หลากหลาย มีไฟเบอร์สูง ทำให้เกลือแร่นั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน เช่น
- ช่วยรักษาสมดุลของน้ำทั้งภายในและภายนอกเซลล์
- ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน รวมถึงเสริมสร้างความแข็งแรงของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
- แมกนีเซียมที่ได้จากเกลือแร่ เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ร่างกายเผาผลาญกลูโคส ให้กลายเป็นพลังงาน
- เกลือแร่หรือแร่ธาตุนั้นอุดมอยู่ในผักนานาชนิดที่มีใยอาหารอยู่มาก ช่วยเพิ่มปริมาณของอุจจาระ ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ลำไส้ทำงานได้ดี
ควรบริโภคเกลือแร่หรือแร่ธาตุอย่างไรช่วงลดน้ำหนัก2
ปริมาณสารอาหารเกลือแร่หรือแร่ธาตุที่ควรได้รับนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของเกลือแร่ โดยหากเป็นเกลือแร่หลัก ควรรับประทานอาหารจำพวกที่มีแคลเซียม โพแทสเซียมสูง ได้แก่ ผักใบเขียวต่างๆ ผักบุ้ง ใบยอ ตำลึง เป็นต้น และสำหรับเกลือแร่รอง ควรรับประทานอาหารจำพวกที่มีธาตุเหล็ก สังกะสี ทองแดง ได้แก่ โหระพา ผักโขม ผักคะน้า เป็นต้น2
หากร่างกายขาดเกลือแร่หรือแร่ธาตุจะส่งผลอย่างไร
หากร่างกายขาดเกลือแร่หรือแร่ธาตุมักส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติ ดังนี้
- อาการปากซีด ตัวซีด สามารถสังเกตได้จากสีปาก และสีผิวว่ามีสีซีดลง จนในบางรายอาจเป็นสีขาวซีด3
- มีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก อาจทำให้มีอาการอ่อนเพลีย เวียนหัวง่าย
- มีภาวะขาดน้ำ สังเกตได้จากปริมาณปัสสาวะที่น้อยลง จนผิดปกติ
- อาจเกิดภาวะกระดูกบาง หรือกระดูกพรุน ซึ่งมีสาเหตุมาจากการขาดแคลเซียม4
- นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย อาจเกิดจากการขาดแมกนีเซียม ซึ่งแมกนีเซียมมีคุณสมบัติที่ช่วยคลายความเครียด อีกทั้งยังช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายอีกด้วย
สารอาหารหมู่ที่ 4 วิตามิน เป็นสารอาหารที่ไ่ม่ให้พลังงาน ถือเป็นสารอาหารรอง เนื่องจากไม่ได้สร้างพลังงาน แต่วิตามินก็เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อระบบการทำงานของร่างกาย เพราะหากขาดวิตามิน ร่างกายจะไม่สามารถทำงานต่อได้ และมีอาการผิดปกติแสดงออกมา5 โดยวิตามินแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่
- วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามิน A, วิตามิน D, วิตามิน E, วิตามิน K
- วิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามิน C และวิตามิน B รวม
ประโยชน์ของวิตามินในช่วงลดน้ำหนัก
วิตามิน เป็นสารอาหารที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมายที่ช่วยให้บำรุง เสริมสร้างระบบการทำงานในร่างกายของเราให้ดีขึ้น6 สามารถแบ่งประโยชน์ของวิตามินในช่วงลดน้ำหนักได้ ดังนี้
- วิตามินช่วยในการมองเห็นของดวงตา
- ช่วยเผาผลาญโปรตีนในร่างกาย ให้เกิดพลังงาน
- ช่วยบำรุงสุขภาพปาก รวมถึงสุขภาพเหงือกและฟัน
- ช่วยลดอาการไขมันอุดตันในเลือด ช่วยให้ร่างกายผลิตน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น
- ช่วยดูแลระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานได้ตามปกติ
ควรบริโภควิตามินอย่างไรช่วงลดน้ำหนัก2
ปริมาณที่เหมาะสมในการทานวิตามินนั้นจะแตกต่างกันออกไปตามชนิดของวิตามิน แนะนำให้ทานวิตามินในปริมาณที่เหมาะสม ดังนี้
- วิตามิน B1 เช่น เมล็ดทานตะวัน ข้าวซ้อมมือ โดยปริมาณที่แนะนำต่อวันอยู่ที่ 1.5 มิลลิกรัม
- วิตามิน B2 เช่น ตับ ผักใบเขียว ข้าวโอ๊ต โดยปริมาณที่แนะนำต่อวันอยู่ที่ 1.7 มิลลิกรัม
- วิตามิน C เช่น มะนาว ส้ม กีวี่ ฝรั่ง โดยปริมาณที่แนะนำต่อวันอยู่ที่ 60 มิลลิกรัม
- วิตามิน D เช่น ตับ ไข่แดง น้ำมันตับปลา โดยปริมาณที่แนะนำต่อวันอยู่ที่ 60 มิลลิกรัม
หากร่างกายขาดวิตามินจะส่งผลอย่างไร6
วิตามินเป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ช่วยรักษากลไกการทำงานให้เป็นไปตามปกติ วิตามินมีหลากหลายชนิด โดยแต่ละชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน ทั้งบำรุงสายตา บำรุงเลือด ฯลฯ เมื่อร่างกายขาดวิตามิน มักมีอาการผิดปกติตามมา ดังนี้
- นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย อาจเกิดจากการขาดวิตามิน B ควรทานอาหารที่มีวิตามิน B6 เนื่องจากวิตามินตัวนี้มีส่วนช่วยสร้างสารเซโรโทนินในสมอง ทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น
- เลือดกำเดาไหลง่าย ไหลบ่อย แต่หยุดไหลช้า เป็นอาการที่เกิดจากการขาดวิตามิน K
- ผิวแห้ง ผิวหยาบกร้าน เมื่อลองสัมผัสร่างกายตัวเองแล้วพบว่าผิวหนังมีความแห้ง แตกเป็นขุย หรือผิวหยาบกร้าน ไม่นุ่มเหมือนเดิม อาจเกิดจากการขาดวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น ขาดวิตามิน A วิตามิน E และวิตามิน C
- มีอาการตากระตุก อาจเกิดสาเหตุจากการขาดวิตามิน B12
หมู่ที่ 5 ไขมัน
สารอาหารหมู่ที่ 5 ไขมัน ประกอบไปด้วยอาหารจำพวกเนย ครีม น้ำมันต่างๆ รวมทั้งสามารถพบไขมันได้จากน้ำมันพืช น้ำมันปลาและไขมันสัตว์อีกด้วย ซึ่งการทานอาหารประเภทไขมันจะช่วยสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย แต่หากรับประทานไขมันมากเกินไป ก็จะเกิดไขมันสะสมในร่างกาย เกิดโรคอ้วน และปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา จึงต้องทานไขมันในปริมาณที่เหมาะสม
ประโยชน์ของไขมันช่วงลดน้ำหนัก
ในช่วงที่กำลังลดน้ำหนัก หลายๆ คนคงไม่อยากทานไขมันเลยสักนิดเดียว แต่ไขมันถือเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย โดยมีประโยชน์หลักๆ ได้แก่
- เป็นตัวนำวิตามิน A, D, E, K เข้าสู่กระแสเลือด เพราะเป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมันเท่านั้น
- ช่วยให้พลังงาน และให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
- ช่วยให้อาหารเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ได้ดีขึ้น
ควรบริโภคไขมันอย่างไรช่วงลดน้ำหนัก8
ในช่วงที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ ยังจำเป็นต้องทานอาหาร 5 หมู่ให้ครบถ้วน แต่ควรเลือกทานไขมันที่ดีต่อสุขภาพ และทานในปริมาณที่เหมาะสม ควรเลือกทานอาหารที่มีไขมันดี ได้แก่ ปลาแซลมอน น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน ถั่วเหลือง เป็นต้น7 โดยปริมาณที่ควรรับประทานไขมันนั้น ให้คำนวณจากพลังงานที่คนเราต้องการอยู่ที่ประมาณ 2,000 แคลอรี่ พลังงานที่ได้รับมาจากไขมันจะอยู่ที่ 20-30% ของพลังงานทั้งหมด8 ซึ่งควรได้รับพลังงานไขมันอยู่ที่ 400-600 แคลอรี่ หรือไขมัน 50-75 กรัมต่อวัน
หากร่างกายขาดไขมันจะส่งผลอย่างไร
ไขมันเป็นหนึ่งในอาหาร 5 หมู่ที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่จะต้องทานไขมันในระดับที่พอดี ซึ่งหากไม่รับประทานไขมันเลย จนร่างกายขาดไขมันจะส่งผล ดังนี้
- ผิวหนังแห้งกร้าน มีความรู้สึกว่าผิวหนังแห้งมากกว่าปกติ หรือพบว่ามีเศษผิวหนังหลุดลอกออกมา
- ขี้หนาว ไขมันช่วยสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย หากพบว่ามีอาการหนาวง่าย รู้สึกหนาวทั้งๆ ที่อากาศร้อนอาจเกิดจากปัญหาร่างกายขาดไขมัน
- ประจำเดือนมาผิดปกติ เนื่องจากไขมันทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของฮอร์โมน อาจทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติได้
- สมาธิสั้น เนื่องจากไขมันถือเป็นหนึ่งในสารอาหารที่ให้พลังงานสูง เมื่อร่างกายขาดไขมันจะทำให้มีพลังงานไปหล่อเลี้ยงร่างกายน้อย จะทำให้สมาธิสั้นกว่าผู้ที่ทานอาหาร 5 หมู่ครบถ้วน
สรุป
สารอาหาร 5 หมู่ประกอบไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่ ซึ่งสารอาหาร 5 หมู่เหล่านี้ล้วนเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หากขาดสารอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งมักมีอาการผิดปกติตามมา ดังนั้น ในช่วงลดน้ำหนัก ก็จำเป็นต้องรับประทานสารอาหาร 5 หมู่ให้ครบถ้วน เพียงแค่รู้จักการจำกัดปริมาณอาหารที่จำเป็น เมื่อรับประทานสารอาหารครบถ้วน อีกทั้งทานอาหารให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอก็จะสามารถลดน้ำหนักควบคู่กับการมีสุขภาพที่ดีได้
#ผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร
#อิ่ม อร่อย สารอาหารเหมาะสม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น